มารู้จักวัดนี้เมื่อปี 2530 ผ่านการชักชวนให้มาบวชเป็นสามเณรภาคฤดูร้อนของพ่อเพื่อน ขอบอกตามตรงชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะบวชภาคฤดูร้อน ไม่ว่าจะมีคนพยายามจะลากจูงยังไงติดสินบนเป็นขนมากแค่ไหนก็ไม่เอา แต่พอเห็นภาพสวยๆ ของหนังสือที่วัดนี้ทำเป็นภาพพระเณรนั่งเป็นแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย เลยถามว่า "ถ้าผมบวชแล้วจะได้นั่งแบบนี้มั้ยครับ" ลุงเค้าก็ตอบว่า "ได้สิ จะบวชมั้ยงั้น" เลยตกปากรับคำลุงเค้า และวันนั้นเองก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเด็กบ้านนอกอายุสิบสามคนนึงมากระทั่งทุกวันนี้..
กว่าจะมาถึงวัดนี้ได้ในสมัยเมื่อเฉียดๆ สามสิบปีก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องนั่งรถไฟจากสถานีเขลางค์นครมาลงที่สถานีรังสิต จากนั้นก็ต่อรถประจำทาง"รังสิต-หนองเสือ"ฉายา เขียวสะอื้นซึ่งกว่าจะออกสักเที่ยวรอกันจนเบื่อมาลงที่หน้าเขตธุดงคสถาน ขอบอกว่ามันกันดารมากกกกก ถนนหน้าพื้นที่เป็นกึ่งๆ ฝุ่นกึ่งๆ ลูกยาง ถนนในเขตมูลนิธิ(ตอนโน้น)เป็นหินเกล็ดซึ่งเก็บความร้อนได้ดีมากๆ ยิ่งในช่วงฤดูร้อนแบบนั้นด้วยอากาศที่ร้อนอยู่แล้วดูเหมือนจะระอุมากขึ้นไปอีก ซึ่งใครที่มาวัดพระธรรมกายในวันนี้คงจะนึกสภาพไม่ออกว่าตอนโน้นกับตอนนี้แตกต่างกันได้ขนาดไหน ความเห็นส่วนตัวผมว่า"ฟ้ากับเหว"ก็ยังน้อยไปเมื่อเทียบวันนั้นกับวันนี้..
การมาถึงวัดก่อนทำให้เข้าใจอะไรได้หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่คนชอบพูดกันว่าวัดนี้รวย หากได้เห็นสภาพในตอนโน้นคิดว่าคงจะไม่พูดคำนี้ออกมา อารมณ์ประมาณเห็นเจ้าสัวทั้งหลายที่รวยมากๆ แต่เราคงไม่เคยได้คิดถึงวันที่เจ้าสัวเหล่านั้นเอาชีวิตเป็นเดิมพันทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา ประวัติศาสตร์บอกไว้ คนจริงเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ ของจริงเท่านั้นที่จะอยู่ยั้งยืนยง ก็คงต้องรอให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ แล้ววันนึงก็จะได้รู้กันว่าอะไรต่อมิอะไรที่คนอื่นพยายามจะยัดเยียดสร้างภาพแย่ๆให้แก่วัดพระธรรมกายแห่งนี้ ว่าในความเป็นจริงแล้วมันคืออะไรกันแน่...
การสร้างเนื้อสร้างตัวของวัดในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คำสอนและวิธีการทำงานของวัดเป็นแบบไหน หลวงพ่อธัมมชโยเป็นต้นธาตุต้นธรรมหรือเป็นอะไร คงต้องค่อยๆ มาว่ากันในโอกาสหน้า สำหรับวันนี้ โชคดี ราตรีสวัสดิ์..
#ธรรมกาย
#ธรรมกาย